- Get link
- X
- Other Apps
สวัสดีค่า เจอกันอีกครั้งในสวนไชเท้าอันหนาวเหน็บ เพราะเหมือนจะตกใครไม่ได้เลย.. แต่เราจะไม่เลิกล้มง่ายๆ และในวันนี้เราจะมาขายเพลงกันอย่างเป็นทางการค่ะ(ในที่สุด!!) ซึ่งเพลงแรกที่เราจะนำเสนอก็คืออ.. เพลง Starry Night ซึ่งเป็นเพลงแรกในอัลบัม 4colors ค่ะ
Yellow Flower
Starry Night เป็นเพลงไตเติลของอัลบัม Yellow Flower ซึ่งเป็นอัลบัมแรกของโปรเจกต์ 4seasons 4colors ที่เราเคยพูดถึงบ่อยๆค่ะ อัลบัม Yellow Flower จะสื่อถึงฤดูใบไม้ผลิและสีเหลือง ซึ่งเป็นสีของน้องฮวาซา ดังนั้นตัวเองของอัลบัมนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากน้องฮวาซานั่นเองค่ะ ทำให้ในอัลบัมนี้ก็จะมีเพลงโซโลของน้องอยู่ด้วย ชื่อว่าเพลง Be Calm ค่ะ เพราะมากๆขอบอก แถมมีอยู่ในอัลบัม 4colors ด้วย แต่น่าเสียดาย ที่ไม่ได้มีการแปลเป็นภาษาญี่ปุ่น TwT
ก่อนที่เราจะไปพูดคุยกันเกี่ยวกับเนื้อหาของเพลง เราลองมาดูเนื้อเพลงคร่าวๆกันก่อนดีกว่าค่ะ
อย่าลืมฟังเพลงไปด้วย!!
v
v
v
(อันนี้เป็น Fan made นะ แบบตัดเพลงเวอร์ชันญี่ปุ่นมาใส่ MV ของเวอร์ชันเกาหลี เผื่อใครอยากดู MV ด้วย)
― ― ― ― ― ― ― ― ― ―
STARRY NIGHT
― ― ― ― ― ― ― ― ― ―
STARRY NIGHT
寒い空を塗り替える風
柔らかい春が訪れ
何か変わりそうな予感がするの
新しい日は来るかな
สายลมพัดพาความหนาวไปจากท้องฟ้า
ฤดูใบไม้ผลิที่แสนอบอุ่นมาถึงแล้ว
บางอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป
วันพรุ่งนี้จะมาถึงแล้วสินะ
暗い夜に寂しく浮かんだ
キラキラ月が
光を描く
ดวงจันทร์สุกสกาวที่ลอยอยู่โดดเดี่ยวในค่ำคืนอันมืดมิด
กำลังวาดแสงระยิบระยับ
君が出たことで
浴槽、水が未練と
溢れるため息が その場所埋めてく
夜は明けても
私は Still alone
ตอนที่คุณลุกออกไป
น้ำในอ่างยังคงแน่นิ่ง
ลมหายใจที่พรั่งพรูเติมเต็มพื้นที่ในห้อง
ถึงค่ำคืนนั้นจะผ่านพ้นไปแล้ว
แต่ความรู้สึกโดดเดี่ยวนี้กลับไม่เคยจากไป
Starry night
こんな夜は
I feel you you you around me
消せない記憶たちが
心離れない
夜空に Starlight
Ya ya ya ya ya
夜空に Starlight
Ya ya ya ya ya
夜空に Starlight
ในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว
ฉันรู้สึกเหมือนคุณยังคงอยู่ข้างๆฉัน
ความทรงจำที่ไม่อาจลบเลือน
ยังคงฝังแน่นอยู่ในใจ
เหมือนดวงดาวที่ส่องประกายบนท้องฟ้า
冬が過ぎてまた花は咲く
春色の香り纏って
代わり映えのない日々を繰り返し
それでも明日を待ってる
ฤดูหนาวผ่านพ้นไป พร้อมกับดอกไม้ที่ผลิบานอีกครั้ง
กลิ่นไอของฤดูใบไม้ผลิอบอวลไปทั่ว
วันแล้ววันเล่าที่ผ่านไปอย่างไร้ความหมาย
แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังคงรอวันพรุ่งนี้ที่จะมาถึง
日が沈めばいつものように
夜な夜な描く
あなたの姿
ตะวันลับหายไป
คืนนี้ก็เป็นอีกคืนหนึ่ง
ที่ฉันวาดภาพของคุณขึ้นมาในใจ
Do you want me to leave?
No 私はそのままOh
暗い夜空に隠れ ふと見えないのよ
夜は明けても
私は Still alone
私は Still alone
คุณอยากให้ฉันจากไปงั้นเหรอ?
ไม่ล่ะ ฉันจะไม่ไปทั้งนั้น
ซ่อนตัวอยู่ในท้องฟ้าอันมืดมิด
คุณไม่มีทางเห็นฉันได้หรอกนะ
และเมื่อรุ่งสางมาถึง
ก็จะเหลือเพียงฉันเหมือนที่ผ่านมา
Starry night
こんな夜は
I feel you you you around me
消せない記憶たちが
心離れない
夜空に Starlight
Ya ya ya ya ya
夜空に Starlight
Ya ya ya ya ya
夜空に Starlight
ในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว
ฉันสัมผัสได้ถึงตัวตนของคุณข้างกายฉัน
ความทรงจำที่ไม่อาจลบเลือน
ยังคงฝังแน่นอยู่ในใจ
เหมือนดวงดาวที่ส่องประกายบนท้องฟ้า
Starry night
君いない夜
心空しい 二人の姿は暮れ
現実拒み 目を閉じる
なぜ君がちらつくの
Leave me alone
崩れてく
คืนที่ไม่มีคุณ
หัวใจของฉันมันว่างเปล่า
ภาพของเราสองคนกลืนไปกับความมืด
ฉันหลับตา หนีความจริงตรงหน้า
แต่ทำไมคุณถึงยังส่องสว่างอยู่หละ
เลิกยุ่งกับฉันสักที
หัวใจของฉันน่ะ มันพังไม่มีชิ้นดีแล้ว
Starry night
こんな夜は
I feel you you you around me
消せない記憶たちが
心離れない
夜空に Starlight
Ya ya ya ya ya
夜空に Starlight
Ya ya ya ya ya
夜空に Starlight
ในค่ำคืนที่สว่างไสว
ฉันรู้สึกเหมือนกับคุณไม่เคยจากฉันไปไหน
ความทรงจำต่างๆที่ไม่อาจลบเลือน
ยังคงฝังแน่นอยู่ในใจ
เหมือนดวงดาวที่ส่องประกายบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
เป็นอย่างไรกันบ้างหลังจากได้ลองฟังและอ่านเนื้อเพลงกันไป เราอาจจะแปลได้ยังไม่ค่อยดีนัก แต่คิดว่าน่าจะเข้าใจใจความหลักๆของเพลงกันอยู่แหละ.. ในส่วนของเนื้อหานั้น คาดว่าคงผิดจากที่ทุกคนคิดไว้ประมาณนึงเลย 5555 ก็แหม เราเล่นเกริ่นมาเสียอย่างดี ว่าอัลบัมนี้เป็นตัวแทนของฤดูใบไม้ผลิและสีเหลือง แต่เนื้อเพลงกลับเป็นความรู้สึกคะนึงหาคนรักเก่าที่เกิดขึ้นยามมองท้องฟ้าที่ส่องประกายยามค่ำคืนเสียอย่างนั้น เป็นความโดดเดี่ยว เงียบเหงา ความไม่มูฟออน!
"เดี๋ยวนะ.. ความรู้สึกแบบนี้มันฤดูหนาวไม่ใช่หรือไง?"
จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิดซะทีเดียว เพราะหากดูจากเนื้อเพลงแล้ว จะเห็นได้ว่าเป็นการพูดถึงช่วงผลัดเปลี่ยนจากฤดูหนาวไปยังฤดูใบไม้ผลิมากกว่าที่จะเป็นการพูดถึงฤดูใบไม้ผลิตรงๆ โดยเฉพาะค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ หรือ Starry Night ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น Keyword หลักเองก็เป็นคุณสมบัติหนึ่งของท้องฟ้าฤดูหนาวค่ะ เพราะในฤดูหนาวจะมีเมฆและฝุ่น(ที่ลอยตัวสูง)น้อย ทำให้ท้องฟ้าฤดูหนาวใสกระจ่าง สามารถมองเห็นดวงดาวได้ชัดกว่าฤดูอื่นๆนั่นเอง
Winter night sky
ทีนี้ลองมาเปรียบเทียบคุณสมบัติของทั้งสองฤดูกับเนื้อหาของเพลงกันดีกว่าค่ะ เริ่มจากความหนาวเย็นในฤดูหนาว ที่ทำให้เกิดความรู้สึกเหงาขึ้นมาได้ง่าย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เราจะเผลอนึกถึงคน(เคย)สำคัญหรือคนที่เรารัก ซึ่งห้วงความคิดของเราในตอนนั้นก็เปรียบเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืนในฤดูหนาวที่ใสกระจ่าง จนสามารถมองเห็นภาพความทรงจำเกี่ยวกับคนรักส่องประกายอยู่บนนั้นได้อย่างชัดเจน
ความสวยงามที่เห็นยิ่งตอกย้ำถึงวันเวลาดีๆที่เคยมีร่วมกัน
แต่สุดท้ายเมื่อแสงตะวันสาดส่องในยามเช้า
ดวงดาวก็จะหายลับไป..
เหลือเพียงแต่ตัวฉันที่ยืนอยู่ตรงนี้
ดราม่าควีนมาก ต่อดีกว่าเนาะ 5555
ในเมื่อเราไม่สามารถลบดวงดาวบนฟ้าได้ ก็คงได้แต่รอให้ความอบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิมาถึง เพื่อให้ความอบอุ่นนั้นก่อให้เกิดเมฆและฝุ่นที่จะช่วยบดบังดวงดาวเหล่านั้นไปได้บ้าง เหมือนในเนื้อเพลงที่ว่า それでも明日を待ってる ในท่อนนี้ค่ะ
冬が過ぎてまた花は咲く
春色の香り纏って
代わり映えのない日々を繰り返し
それでも明日を待ってる
ดังนั้นฤดูใบไม้ผลิในเพลงนี้ก็คือความหวังที่จะเริ่มต้นใหม่ค่ะ!!
นอกจากเนื้อเพลงที่ถ่ายทอดเรื่องราวและความรู้สึกแล้ว Music Video เองก็ถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเสริมอารมณ์ต่างๆของเพลงค่ะ ว่าแต่เพื่อนๆได้สังเกตกันรึเปล่า? ไม่ว่าจะสถานที่ถ่าย เสื้อผ้าหน้าผมของศิลปิน ล้วนมีสีสันแท้ๆ แต่ทำไมภาพที่ออกมากลับดูหม่นหมอง ให้ความรู้สึกเหงากันนะ?
ทั้งนี้ก็เป็นผลมาจากการปรับสีภาพหรือ Color grading ค่ะ โดยหลักๆน่าจะมาจากการปรับค่าความอิ่มตัวของสี (Saturation) ให้ต่ำลง เพื่อให้สีมีความหม่น ถึงแม้จะยังมีความ Colorful อยู่ก็ตามค่ะ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเน้นย้ำความรู้สึกโดดเดี่ยว ความเหงาในเนื้อเพลงนั่นเอง
ภาพใน MV แบบปกติ
แบบที่ลองเพิ่ม Saturation +40
"Japanese ver. VS Korean ver."
วกกลับมาในเนื้อหาสาระของเรากันก่อนที่จะลืมดีกว่า ในส่วนของการแปลเนื้อเพลงจากเวอร์ชันเกาหลีมาเป็นเวอร์ชันญี่ปุ่น เรามองว่าเวอร์ชันญี่ปุ่นสามารถถ่ายทอดใจความหลักคือความรู้สึกคิดถึงคนรักเก่าออกมาได้เป็นอย่างดี แต่ว่าในเรื่องของบรรยากาศและอารมณ์ของเพลงรู้สึกว่ายังขาดความลึกซึ้งและยังไม่เห็นภาพมากเท่าในเวอร์ชันเกาหลี ยกตัวอย่างเช่น ในท่อน(ที่น่าจะเป็น)พรีฮุค
Starry night
こんな夜は
I feel you you you around me
消せない記憶たちが
心離れない
ท่อนที่ว่า I feel you you you around me ในเวอร์ชันเกาหลีจะเป็น 네가 휘휘휘 불어와 ซึ่งแปลว่า あなたがぴゅうぴゅう吹いてくる หรือก็คือ คุณพัดฟิ้วๆมาที่นี่(แปลไทยบ่าได้เลยแม่ 5555) สรุปคือไอที่ร้องว่า 휘휘휘(ฮวีฮวีฮวี) มันก็คือเสียงลมพัดนั่นเอง
ถึงแม้ทั้งสองเวอร์ชันจะสรุปได้ว่า"ฉันสัมผัสได้ถึงคุณ"เหมือนกันก็ตาม แต่ในขณะที่ในเวอร์ชันญี่ปุ่น เราอาจจะเห็นภาพผู้หญิงคนหนึ่งยืนมองดวงดาวบนท้องฟ้าแล้วนึกถึงคนรักเก่า เวอร์ชันเกาหลีจะให้ภาพของหญิงสาวที่ยืนมองท้องฟ้าท่ามกลางสายลมหนาว และสัมผัสของลมที่กระทบผิวหนังก็ทำให้เธอนึกถึงสัมผัสของคนรักเก่า... แตกต่างกันพอสมควรเลยใช่มั้ยล่ะคะ? อารมณ์ความรู้สึกตรงนี้แหละค่ะ ที่เรามองว่าเวอร์ชันญี่ปุ่นยังขาดไป
"ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่แปลออกมาเป๊ะๆเลยล่ะ?"
อย่างที่ทุกคนน่าจะรู้กันอยู่แล้ว ว่าข้อจำกัดอันยิ่งใหญ่ของการแปลเพลงมันอยู่ที่จังหวะและการออกเสียง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะแปลเพลงโดยเก็บรายละเอียดทั้งหมดในภาษาต้นทาง ไปยังภาษาปลายทางที่มีความแตกต่างกันในด้านของจำนวนพยางค์
ขออนุญาตใช้ตัวอย่างเดิมมาอธิบายนะคะ
สมมติว่าเราจะแปลท่อน 네가 휘휘휘 불어와 ออกมาให้ได้ภาพเหมือนเดิมก็ต้องแปลออกมาเป็น あなたがぴゅうぴゅう吹いてくる ใช่มั้ยละคะ ถ้าลองมานับจำนวนพยางค์หรือจังหวะ(โมระ)ดูแล้วล่ะก็...
네가 휘휘휘 불어와 = 8 โมระ
あなたがぴゅうぴゅう吹いてくる = 13 โมระ
ถ้าแปลอย่างนี้มันก็จะได้แค่ あなたがぴゅうぴゅう น่ะสิ ฮาเลยนะ 5555 เนี่ย! แค่จังหวะก็ไม่ได้แล้ว ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องการออกเสียงเลย
สารภาพเลยว่าตอนแรกเราเข้าใจว่าภาษาเกาหลีกับภาษาญี่ปุ่นมีจำนวนพยางค์ในแต่ละคำใกล้เคียงกันมาก บางคำคือออกเสียงเหมือนกันเลยด้วยซ้ำ เลยคิดว่าการแปลจากภาษาเกาหลีไปภาษาญี่ปุ่นมันน่าจะไม่ยากในแง่ของการเก็บรายละเอียดต่างๆ แต่พอได้มาเทียบกันจริงๆแล้ว รายละเอียดเล็กๆน้อยๆคือหายหมดเลยจ้าา //ร้องไห้
"ในเมื่อมีความแตกต่างด้านจำนวนพยางค์ แล้วจะแปลออกมายังไงดีล่ะ?"
วิธีแก้ปัญหาที่เราสังเกตเห็นในเพลงนี้ ก็คือการใช้ภาษาอังกฤษแทนและการเปลี่ยนรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ คงไว้แค่ใจความที่จะสื่อ
การใช้ภาษาอังกฤษแทน ก็น่าจะเห็นกันไปแล้วในท่อน I feel you you you around me (ท่อนอเนกประสงค์จริงๆ) ส่วนตัวเราแอบมองว่าเป็นวิธีที่ดูจะเป็นการตัดปัญหาไปสักนิดนึง อารมณ์แบบ "แปลเป็นภาษาญี่ปุ่นที่เข้าท่าไม่ได้อ่ะ เอาเป็นอังกฤษไปเลยละกัน" แต่ว่าไม่ได้เนาะ ก็มันแปลยากจริงอ่ะ..
ซึ่งการใช้ภาษาอังกฤษในเพลงป็อปมันก็พบเห็นกันได้ทั่วไป ดังนั้นการที่เปลี่ยนท่อนๆหนึ่งเป็นภาษาอังกฤษ ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกขัดกับท่อนอื่นๆเท่าไหร่ เอาง่ายๆแค่ในต้นฉบับยังใช้ Starry night แทบจะทั้งเพลงเลย
ในส่วนของการเปลี่ยนรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ คงไว้แค่ใจความที่จะสื่อนั้น เรียกได้ว่าใช้แทบทั้งเพลงค่ะ 555 ลองมาดูตัวอย่างในท่อนแรกกันดีกว่า
(Korean ver.)
손끝이 시리더니 벌써 봄이 왔네
꿈같은 바람이 불어 곳곳에
ถึงมือของฉันจะยังเย็นเหยียบ แต่ฤดูใบไม้ผลิก็มาถึงแล้ว
สายลมดังความฝันนี้พัดผ่านไปทั่วทุกที่
v
v
(Japanese ver.)
寒い空を塗り替える風
柔らかい春が訪れ
สายลมพัดพาความหนาวไปจากท้องฟ้า
ฤดูใบไม้ผลิที่แสนอบอุ่นมาถึงแล้ว
สายลมพัดพาความหนาวไปจากท้องฟ้า
ฤดูใบไม้ผลิที่แสนอบอุ่นมาถึงแล้ว
จะเห็นได้ว่าถึงรายละเอียดเล็กๆน้อยๆอย่างมือที่ยังเย็นเฉียบจากความหนาวของฤดูหนาวหายไป แต่ก็ยังคงใจความที่ว่า ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว
โดยรวมเราว่าเขาก็แปลออกมาได้โอเคอยู่ เข้าใจเนื้อหาหลักๆ แล้วพอร้องแล้วก็เข้ากับเมโลดี้เดิมด้วย ส่วนตัวก็ฟังได้ทั้งสองเวอร์ชันเลยค่ะ
"แล้วที่ตัวเองแปลล่ะ.."
หึหึ ฉอดที่เขาแปลเป็นญี่ปุ่นมาตั้งยาว พอมาถึงคราวตัวเองแปลเป็นไทยก็คือกุมขมับเลยค่ะ.. ปัญหาแรกเลยคืออ่านภาษาญี่ปุ่นยังไม่เข้าใจ 5555 ต้องนั่งค้นนั่งหาความหมายของแต่ละประโยคกันให้วุ่น พอรู้ความหมายแล้วก็มาถึงปัญหาที่สองซึ่งเป็นปัญหาหลักเลย ก็คือเข้าใจความหมายแล้ว เห็นภาพแล้ว แต่แปลเป็นภาษาไทยไม่ได้..
กรณีแรกคือ เลือกใช้คำไม่ถูก
กรณีที่สองคือ ในภาษาไทยเขาไม่ใช้สำนวนการเขียนเหมือนภาษาต้นทาง
ยกตัวอย่างเช่นในท่อน 寒い空を塗り替える風 คำว่า 塗り替える แปลว่า 前に塗ってあったものを改めて、新しく塗り直す ถ้าแปลเป็นภาษาอังกฤษก็คือ repaint เป็นคำที่มักใช้ในสถานการณ์แบบทาสีกำแพงบ้านใหม่งี้อ่ะ
ตอนที่แปลท่อนนี้ แว๊บแรกที่คิดในหัวเลยก็คือ สายลมที่ทาทับท้องฟ้าอันหนาวเหน็บ.. งงมาก แค่คิดก็กำหมัดแล้วอ่ะ พอลองไปดูคำแปลอังกฤษเผื่อจะได้ไอเดียอะไรบ้าง ก็เจอเขาแปลว่า The wind that repaints the cold sky... ก็ไม่แน่ใจว่า google translate มารึเปล่า แต่จากที่เคยฟัง Colors of the wind ของเรื่องโพคาฮอนทัสมา ก็เข้าใจว่าในภาษาอังกฤษน่าจะใช้กริยา paint กับคำว่า wind ได้แหละ
แต่พอมาเป็นภาษาไทย มันไม่ได้อ่ะแม่!! ไม่ว่าจะวาด,ทา,ระบายหรือแต่งแต้ม ใดๆล้วนไม่เข้ากับประธานที่เป็นลมและกรรมที่เป็นท้องฟ้า! สุดท้ายเลยเลือกแปลตามความเข้าใจของตัวเองก็คือลมอุ่นของฤดูใบไม้ผลิพัดเข้ามาแทนที่ความหนาว เลยได้ออกมาเป็น สายลมพัดพาความหนาวไปจากท้องฟ้า นั่นเองค่ะ ก็ยังรู้สึกแปลกๆ แต่ก็จนปัญญาแล้วค่ะ //ปาดเหงื่อเคล้าน้ำตา
มีท่อนที่เรางงๆแบบนี้อยู่เยอะเหมือนกัน น่าจะเป็นปัญหาที่คลังศัพท์คลังสำนวนของเราน้อยด้วย สุดท้ายก็ทำได้แค่พยายามทำความเข้าใจทั้งเนื้อของเวอร์ชันเกาหลีและเวอร์ชันญี่ปุ่นเพื่อให้เห็นภาพที่เขาต้องการจะสื่อ แล้วอธิบายออกมาเป็นภาษาไทยที่คิดว่าเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะสรรคำมาได้ค่ะ...
ในเรื่องของการแปล เราคิดว่าตัวเพลงแปลออกมาเป็นเวอร์ชันภาษาญี่ปุ่นได้ดีในระดับหนึ่ง เก็บใจความและอารมณ์หลักๆของต้นฉบับไว้ได้ครบถ้วน ส่วนการแปลของเราเองก็ยังคงต้องพัฒนากันไปอีกยาวๆค่ะ //ปาดน้ำตา
ในด้านของเนื้อหา เรามองว่ามีความน่าสนใจและต่อเนื่องมาจากเพลง Paint Me ในเรื่องของคอนเซปต์เกี่ยวกับความทรงจำ ซึ่งใน Paint Me การระบายสีลงบนผ้าใบก็เปรียบเหมือนการฝากเรื่องราวต่างๆลงไปในความทรงจำของคนๆหนึ่ง แต่ใน Starry Night ความทรงจำเหล่านั้นกลับกลายมาเป็นดวงดาวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าแทน ถึงแม้จะอยู่ในรูปแบบที่ต่างกัน แต่ก็มีจุดร่วมคือ ไม่สามารถลบออกไปได้ ทำได้แค่ทาสีทับ หรือรอให้เมฆมาบังค่ะ
ตอนที่แปลท่อนนี้ แว๊บแรกที่คิดในหัวเลยก็คือ สายลมที่ทาทับท้องฟ้าอันหนาวเหน็บ.. งงมาก แค่คิดก็กำหมัดแล้วอ่ะ พอลองไปดูคำแปลอังกฤษเผื่อจะได้ไอเดียอะไรบ้าง ก็เจอเขาแปลว่า The wind that repaints the cold sky... ก็ไม่แน่ใจว่า google translate มารึเปล่า แต่จากที่เคยฟัง Colors of the wind ของเรื่องโพคาฮอนทัสมา ก็เข้าใจว่าในภาษาอังกฤษน่าจะใช้กริยา paint กับคำว่า wind ได้แหละ
แต่พอมาเป็นภาษาไทย มันไม่ได้อ่ะแม่!! ไม่ว่าจะวาด,ทา,ระบายหรือแต่งแต้ม ใดๆล้วนไม่เข้ากับประธานที่เป็นลมและกรรมที่เป็นท้องฟ้า! สุดท้ายเลยเลือกแปลตามความเข้าใจของตัวเองก็คือลมอุ่นของฤดูใบไม้ผลิพัดเข้ามาแทนที่ความหนาว เลยได้ออกมาเป็น สายลมพัดพาความหนาวไปจากท้องฟ้า นั่นเองค่ะ ก็ยังรู้สึกแปลกๆ แต่ก็จนปัญญาแล้วค่ะ //ปาดเหงื่อเคล้าน้ำตา
มีท่อนที่เรางงๆแบบนี้อยู่เยอะเหมือนกัน น่าจะเป็นปัญหาที่คลังศัพท์คลังสำนวนของเราน้อยด้วย สุดท้ายก็ทำได้แค่พยายามทำความเข้าใจทั้งเนื้อของเวอร์ชันเกาหลีและเวอร์ชันญี่ปุ่นเพื่อให้เห็นภาพที่เขาต้องการจะสื่อ แล้วอธิบายออกมาเป็นภาษาไทยที่คิดว่าเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะสรรคำมาได้ค่ะ...
"มาสรุปกันสักหน่อย เพราะเขียนยาวมากกก"
ในเรื่องของการแปล เราคิดว่าตัวเพลงแปลออกมาเป็นเวอร์ชันภาษาญี่ปุ่นได้ดีในระดับหนึ่ง เก็บใจความและอารมณ์หลักๆของต้นฉบับไว้ได้ครบถ้วน ส่วนการแปลของเราเองก็ยังคงต้องพัฒนากันไปอีกยาวๆค่ะ //ปาดน้ำตา
ในด้านของเนื้อหา เรามองว่ามีความน่าสนใจและต่อเนื่องมาจากเพลง Paint Me ในเรื่องของคอนเซปต์เกี่ยวกับความทรงจำ ซึ่งใน Paint Me การระบายสีลงบนผ้าใบก็เปรียบเหมือนการฝากเรื่องราวต่างๆลงไปในความทรงจำของคนๆหนึ่ง แต่ใน Starry Night ความทรงจำเหล่านั้นกลับกลายมาเป็นดวงดาวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าแทน ถึงแม้จะอยู่ในรูปแบบที่ต่างกัน แต่ก็มีจุดร่วมคือ ไม่สามารถลบออกไปได้ ทำได้แค่ทาสีทับ หรือรอให้เมฆมาบังค่ะ
พูดง่ายๆก็คือ เรื่องราวต่างๆในความทรงจำมันก็อยู่กับเราไม่ไปไหนหรอก เพียงแค่ตัวเราจะให้ความสำคัญกับมันแค่ไหน จะมองเห็นมันไหม ก็เท่านั้นค่ะ
― ― ― ― ― ― ― ―
จบแล้วค่าา ขอโทษที่เขียนยาวแบบไม่เห็นใจคนอ่านนะคะ เพลงต่อๆไปจะพยายามรวบเนื้อหาให้สั้นกว่านี้ค่ะ หวังทุกคนจะชอบเพลง Starry Night ที่นำมาฝากกันในวันนี้นะคะ แล้วเจอกันใหม่ค่าา
Comments
ไม่เคยฟังเวอร์ชันญี่ปุ่นมาก่อนเลย น่าสนใจมากจะไปลองฟังนะคะ
ReplyDeleteไปตำ! มันดืออ
Delete